ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมปศุสัตว์ นับเป็นตัวการสำคัญที่มาเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศของโลก โดยเฉพาะก๊าซมีเทน ซึ่งว่ากันว่าเป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่งที่มีความร้ายแรง ก่อให้เกิดโลกร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วไปถึง 25 เท่า ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้จึงจำเป็นที่จะต้องปรับตัว สร้างการเปลี่ยนแปลงในฐานะผู้ที่ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ให้มากกว่านี้ และในวันนี้ก็เป็นที่น่ายินดีว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย ได้มีการเคลื่อนไหวในประเด็นนี้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว
รู้กันก่อน ปัจจัยที่ทำให้ อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย ต้องปรับเปลี่ยนตามเทรนด์โลก
ก่อนจะไปทราบถึงความร่วมมือดีๆ ของภาคธุรกิจปศุสัตว์ไทย กับสถาบันอุดมศึกษา เพื่อใช้งานวิจัยขับเคลื่อนเป้าหมาย Net zero นั้น เราอยากอัปเดตให้เห็นภาพกว้างของวงการปศุสัตว์โลกว่าทำไมจึงตื่นตัวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมนี้ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ต้นสายปลายเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ก็เนื่องจากปัจจุบันการค้าโลกมีการเปลี่ยนแปลงไป หลายประเทศมีนโยบายที่มุ่งเน้นเรื่องการผลิตสินค้าที่ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหลักในการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ของไทย โดยที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ตลอดห่วงโซ่ของไทย และการส่งออกสินค้าปศุสัตว์มีมูลค่ารวมประมาณ 1.07 ล้านล้านบาทต่อปีทีเดียว
ทั้งนี้ ได้มีการออกมาตรการเกี่ยวกับสินค้ายั่งยืน อาทิ แผนการปฏิรูปสีเขียวของยุโรป (EU Green Deal) และ ESG: Environmental Social and Governance หรือหลักการทำธุรกิจที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้านหลัก คือ สิ่งแวดล้อม สังคม การกำกับดูแล ซึ่งเป็นเงื่อนไขการแข่งขันทางการค้า
อีกทั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Greenhouse Gases Emission) ภายในประมาณปี ค.ศ. 2065 และการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 ตามนโยบายของภาครัฐ
นอกจากนั้น ในปัจจุบันประเทศคู่ค้าในยุโรปเริ่มเก็บภาษีคาร์บอนจากสินค้านำเข้าแล้ว และคาดว่าในอนาคตฉลากและภาษีคาร์บอนจะถูกนำมาใช้เป็นมาตรการกีดกันการค้าเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน และการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ของไทยได้
และดังที่กล่าวข้างต้นว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์ ถูกกล่าวถึงในแง่ที่เป็นตัวการเป็นผู้ปล่อยก๊าซมีเทนในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง จึงจำเป็นที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับแวดวงนี้จะต้องเร่งปรับตัว เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ยั่งยืนต่อโลกใบนี้
เปิดความร่วมมือครั้งสำคัญ เปลี่ยน อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย จากผู้ร้ายสู่ฮีโร่รักษ์โลก
เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวที่น่ายินดีเกิดขึ้นในวงการปศุสัตว์ไทย ซึ่งจะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนโฉม อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย จากเดิมที่เป็น “ผู้ร้าย” ที่เป็นตัวการทำให้สภาพแวดล้อมของโลกแย่ลงด้วยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้เป็น “ฮีโร่รักษ์โลก” โดยใช้กลไกของ “งานวิจัย”
โดยได้มีพิธีลงนามความร่วมมือโครงการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย (Thai Livestock Technical Consortium for Climate Neutrality, LCCN) ขึ้นระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กับกลุ่มภาคีปศุสัตว์และสัตว์น้ำไทย ทั้ง 9 สมาคม ประกอบด้วย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย, สมาคมสัตวบาลแห่งประเทศไทย, สมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย, สมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสัตว์ปีก, สมาคมสัตวแพทย์สัตว์น้ำไทย, สมาคมสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสัตว์เคี้ยวเอื้อง, สมาคมธุรกิจเวชภัณฑ์สัตว์, สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย และสมาคมผู้เลี้ยงโคนมไทยโฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการ งานวิจัย และการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน
นอกจากนี้ยังมีการจัดสัมมนาเรื่อง “การลดก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุตสาหกรรมปศุสัตว์” ในรูปแบบออนไลน์ เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจ และเพื่อสร้างความตระหนักถึงผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต และร่วมหาแนวทางในการลดก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ของไทย
ในโอกาสนี้ รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า
“เป็นที่ทราบกันดีว่าประเด็นการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกัน”
ด้าน พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ตัวแทนภาคีปศุสัตว์และสัตว์น้ำไทย กล่าวถึงสาเหตุที่ตัดสินใจร่วมมือกับ มจธ. เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในวงการปศุสัตว์ไทย และพิชิตเป้าหมาย Net zero ว่า
“เนื่องจาก มจธ. เป็นมหาวิทยาลัยแรกที่มีนโยบายชัดเจนด้านความยั่งยืนเกี่ยวกับระบบการจัดการด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และสร้างการมีส่วนร่วม โดยมหาวิทยาลัยได้ประกาศเจตนารมณ์การปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2040 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา”
“เป้าหมายนี้สอดคล้องกันพอดีกับเป้าหมายของภาคีปศุสัตว์และสัตว์น้ำไทย ที่มีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการนำพาธุรกิจปศุสัตว์ไทยไปสู่ปศุสัตว์สีเขียว โดยตั้งเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero emissions) ในปี ค.ศ. 2040 เช่นกัน”
“ดังนั้น การลงนามความร่วมมือครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่เกิดความร่วมมือระหว่างภาควิชาการและภาคเอกชนซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจปศุสัตว์ของไทยเดินหน้าเข้าสู่ปศุสัตว์สีเขียวได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น”
ต่อยอดประเด็นจากสัมมนา สู่โซลูชันนำ อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย ก้าวไปไกลถึงมาตรฐานสหภาพยุโรปด้วยงานวิจัย
สำหรับในส่วนของเวทีการสัมมนาที่จัดขึ้นพร้อมกับพิธีลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจในการพูดคุยมากมาย โดยแต่ละหัวข้อมีผ็เชี่ยวชาญมาแสดงมุมมองและให้ความรู้ อาทิ
ศ.ดร.นวดล เหล่าศิริพจน์ ผู้อำนวยการบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม หรือ JGSEE กล่าวว่า
“อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยเป็นภาคส่วนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะมีเทนในอัตราที่สูงมาก ทั้งจากกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ และระหว่างการผลิตปศุสัตว์ ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อนอย่างมีนัยสำคัญ”
“อย่างไรก็ดีปัญหาในปัจจุบันคือ ผู้ประกอบการปศุสัตว์หรือกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์ในไทยไม่มีข้อมูลว่าในแต่ละกระบวนการมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาในปริมาณเท่าไหร่อย่างชัดเจน จะมีเพียงรายงานผลการศึกษาในต่างประเทศเท่านั้น ดังนั้นประเด็นที่ทาง มจธ. สามารถช่วยกลุ่มภาคีปศุสัตว์ฯ จึงประกอบด้วย”
การศึกษาหาข้อมูลพื้นฐาน ณ ปัจจุบัน Baseline ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทต่างๆ จากห่วงโซ่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย โดยการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์
การประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ในแต่ละกระบวนการของห่วงโซ่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย
การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (มุ่งเน้นก๊าซมีเทน)
ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาสูตรอาหารสัตว์โดยการเติมจุลินทรีย์ลงไปอาจทำให้ระบบการย่อยของสัตว์ดีขึ้น การวิเคราะห์จุลชีพในระบบทางเดินอาหารของสัตว์เพื่อออกแบบวิธีการให้อาหารสัตว์ที่เหมาะสม การพัฒนาอาหารเสริมสำหรับสัตว์ การพัฒนาปุ๋ยชีวภาพเพื่อใช้ปลูกพืชที่นำมาใช้ผลิตอาหารสัตว์ให้สามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างเพาะปลูก
รวมทั้งการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตก๊าซชีวภาพที่มีประสิทธิภาพสูงจากมูลสัตว์ การเพิ่มประสิทธิภาพและนำเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในกระบวนการผลิตอาหารสัตว์และการผลิตปศุสัตว์ การปรับปรุงระบบโลจิสติกส์และการขนส่ง การนำกลไกการซื้อขายคาร์บอนมาประยุกต์ใช้ในห่วงโซ่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะให้กับบุคลากรในห่วงโซ่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย เพื่อให้มีความเข้าใจเรื่องแนวทางการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมด้วย
ที่สุดแล้ว ความร่วมมือกันครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปศุสัตว์ให้ทราบถึงปัญหาเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีอยู่ในปัจจุบัน และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะถ้าไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ เพื่อแก้ไข รวมถึงร่วมกันหาแนวทางเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ลง เส้นทางใยการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero emissions) ในปี ค.ศ. 2040 คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ที่มา: https://www.salika.co/2022/02/13/livestock-industry-thailand-go-for-net-zero-with-research/