จุรินทร์เผยราคาข้าวโพดพุ่งทะลุเพดาน คณะกรรรมการฯ เคาะการจ่ายส่วนต่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์งวดที่ 12 ไม่ต้องชดเชยเป็นงวดที่ 12 งวดติดต่อกัน หลังราคาเกินเพดานประกันรายได้ เฉลี่ยสูงถึงกิโลกรัมละ 11.09 บาท สูงกว่าราคาที่ประกัน 2.59 บาท
วันที่ 20 ตุลาคม 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ล่าสุดคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ประกาศเรื่อง การกำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงและการชดเชยส่วนต่างราคาตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2564/65 มติไม่ต้องจ่ายเงินส่วนต่างสำหรับงวดที่ 12 ของโครงการประกันรายได้ปีที่ 3 เพราะราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขณะนี้สูงทะลุราคาประกันรายได้
สำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่มีวันเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564-31 พฤษภาคม 2565 และมีกำหนดเก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2565 เป็นต้นไป โดยมีสิทธิ์ได้รับการชดเชยส่วนต่างรอบวันที่ 20 ตุลาคม 2565 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชนิดเมล็ดความชื้นไม่เกิน 14.5% กิโลกรัมละ 11.09 บาท
ซึ่งราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงในครั้งนี้สูงกว่าราคาเป้าหมาย (กิโลกรัมละ 8.50 บาท) จึงไม่มีการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้แก่เกษตรกร ซึ่งราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้นได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถ้าวันหนึ่งราคาตก ตราบเท่าที่มีรัฐบาลชุดนี้ จะช่วยประกันรายได้ให้พี่น้องเกษตรกร
สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกร ที่เป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาล เข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว เป็นหลักประกันรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกร ให้มีรายได้สองส่วนจากราคาที่ขายในตลาดและส่วนต่างจากรายได้ที่ประกัน โดยโอนเข้าบัญชี ธ.ก.ส.โดยตรง ได้ประกันรายได้ในพืชเกษตร 5 ชนิดประกอบด้วย ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้น
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เปิดเผยว่า การคำนวณส่วนต่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมล็ดความชื้นไม่เกิน 14.5% สำหรับงวดที่ 12 อยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 11.09 บาท สูงกว่าราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ กก.ละ 8.50 บาท หรือสูงกว่าราคาประกันรายได้ 2.59 บาท ทำให้ไม่ต้องจ่ายชดเชยเป็นงวดที่ 12 ติดต่อกัน หลังจากราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการคำนวณปริมาณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ ได้ใช้วิธีการเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (ปี 2562/63, 2563/64 และ 2564/65) ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 700 กก. ต่อไร่ คูณด้วยจำนวนไร่ตามที่เกษตรกรได้ขึ้นทะเบียนไว้ แต่ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่
ส่วนการกำหนดราคาอ้างอิง คณะอนุกรรมการฯ ได้ใช้ราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ความชื้นไม่เกิน 14.5% ของกรมการค้าภายใน เฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน โดยถ่วงน้ำหนักราคาตามปริมาณผลผลิตรายจังหวัดที่ออกสู่ตลาดรายเดือนในเดือนที่กำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง จากจังหวัดที่มีปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มากที่สุด 10 อันดับแรก ตามข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้แก่ เพชรบูรณ์ นครราชสีมา น่าน ตาก เลย นครสวรรค์ ลพบุรี เชียงราย พิษณุโลก และแพร่ เพื่อคำนวณการจ่ายส่วนต่าง
โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2564/65 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้ดำเนินโครงการเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2564 ในกรอบวงเงิน 1,863 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือด้านรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยจะจ่ายเดือนละครั้งทุกวันที่ 20 จนสิ้นสุดโครงการ โดยมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดทั้งประเทศ 4.5 แสนครัวเรือน ปลูกมากที่สุด คือ จังหวัดเพชรบูรณ์ รองลงมา คือ จังหวัดตาก เชียงราย และกระจายอยู่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กับหลายจังหวัดในภาคอีสานและมีภูมิภาคอื่นด้วยเล็กน้อย
ทั้งนี้ คณะกรรมฯได้ลงนามในประกาศเรื่อง การกำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงและการชดเชยส่วนต่างราคาตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2564/65 โดยมีมติไม่จ่ายเงินส่วนต่างสำหรับงวดที่ 12 ของโครงการประกันรายได้ปีที่ 3 ที่จะจ่ายให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยมีวันเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2564-31 พ.ค. 2565 และระบุวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. 2565 เป็นต้นไป
ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-1091282